วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 08, 2551

ตรุษจีนของเฮีย

เมื่อวานซืน เป็นวันไหว้ ตามธรรมเนียมที่บ้านก็จะไหว้เจ้าที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปไหว้ที่ร้าน แล้วปิดท้ายไปไหว้อากง-อาม่าที่บ้านอาแปะที่กรุงเทพฯ ซึ่งหลังจากการไหว้แต่ละที่ก็จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทอง นี่แหละๆ เหตุเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

สวีทพี : อาคร้าบ...โน่นๆ อากงเผาคาบอนไดออกไซด์ (เฮียพีชี้ไปทางที่อากงกำลังเผากระดาษอยู่) เดี๋ยวเฮียต้องไปดับก่อนนะ
ขณะที่อากำลังนั่งหัวเราะดูหลานวิ่งไปก็ได้ยินเสียงเฮียพีตะโกนถามอากง "อากงเผาคาบอนไดออกไซด์ทำไม"
อากง : อากงไหว้เจ้า หนูอย่ามายุ่ง มันร้อน
ฉันแอบเห็นเฮียพีมองซ้าย มองขวาเหมือนกำลังหาอุปกรณ์มาดับไฟเลยต้องรีบเดินไปสมทบ
อา : เฮียพีครับ เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งดับ วันนี้มันเป็นวันพิเศษน่ะ วันนี้คนจะเผากระดาษเยอะแยะเลย เหมือนที่เฮียได้หยุดโรงเรียนไง
(อาพยายามหาคำอธิบายกลางๆ เพราะกลัวหลานสับสน)
สวีทพี : เหรอ วันนี้วันพิเศษก็เลยเผาคาบอนไดออกไซด์ได้เหรอ แล้วโลกไม่ร้อนเหรออา..
อา : .....!! เอ่อ...ไม่ว่าเผาอะไรวันไหนก็ทำให้โลกร้อนทั้งนั้นแหละครับ แต่ในเมื่อวันนี้เป็นวันพิเศษที่เราต้องเผากระดาษไปให้เหล่ากง เหล่าม่า แล้วก็เจ้าทั้งหลาย เราก็เลยต้องปลูกต้นไม้ชดเชยไงเฮีย .. เหมือนวันนั้นที่อาลืมเอาแก้วน้ำไปรับเฮียที่โรงเรียน แต่เฮียกับน้องหิวน้ำมาก อาเลยยอมซื้อน้ำให้ แต่เราตกลงกันว่าต้องกลับบ้านมาปลูกต้นไม้ชดเชยไง จำได้ไหมครับ
สวีทพี : อ้าว แต่เมื่อวันนั้นเฮียก็ยังไม่ได้ปลูกต้นไม้เลย
อา : ใช่สิก็เฮียเกเรไง เพราะฉะนั้นเฮียติดต้นไม้อากี่ต้นแล้วครับ
สวีทพี : อืมม์ แต่วันนี้เฮียไม่ได้เผาคาบอนไดออกไซด์นะ อากงเผาเอง...
อา : ...!!! เอาเป็นว่าอาปลูกแทนอากงเอง แต่เฮียต้องปลูกของเฮียนะ ตกลงไหม
สวีทพี : คร้าบบบบบบบ

^_________________^ แต่จนวันนี้ก็ยังไม่ได้ปลูกต้นไม้เลยอ่ะ
ปล. บางทีบางเรื่องก็ยาก และลำบากใจนะ เรื่องของธรรมเนียม วัฒนธรรม ความเชื่อ และจิตใจ เป็นเรื่องยาก

วันศุกร์, มกราคม 25, 2551

ความสุขคือ...6

ตอนอนุบาล จำได้ว่า ความสุขคือการได้กลับบ้าน เหตุผลง่ายมากเลย
เพราะว่าเรา 3 พี่น้องมักจะกลับบ้านเป็น 3 คนสุดท้ายประจำ!!!

เรื่องมีอยู่ว่าฉันเรียนโรงเรียนอนุบาลบูรณะศึกษา ส่วนพี่ๆ เรียนอยู่โรงเรียนบูรณะศึกษาจะว่าไปแล้วมันคือโรงเรียนเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนละฝั่งถนน

ตอนเลิกเรียนฉันก็คงวิ่งเล่น หรือทำอะไรไปตามภาษาเด็กนั่นแหละ จำไม่ค่อยได้หรอกแต่ที่จำได้แม่นคือฉันมักจะเห็นเพื่อนเดินไปหาพ่อแม่ ทีละคนสองคน จนไม่เหลือใครเลย นอกจากฉันและครูเวรที่คงอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว แต่แม่ฉันก็ยังไม่มารับสักที

คุณครูเวรจึงมีหน้าที่พาฉันข้ามถนนมาฝั่งโรงเรียนประถม ฉันเริ่มมีความสุขขึ้นมาหน่อยเมื่อได้เจอพี่ๆ เราเล่นอะไรกันจนเบื่อแล้วแม่ก็ยังไม่มา ฟ้ามืดแล้ว ครูเจี๊ยบ(ครูโรงเรียนประถม)คงกลัวพวกเราหิว ครูเจี๊ยบเดินหายไปทางโรงอาหารไม่นานก็กลับมาพร้อมขนมปัง 3 ชิ้น แสงไฟหน้ารถเลี้ยวเข้ามาพวกเรารีบวิ่งไปหยิบกระเป๋า แม่จอดรดเมื่อไหร่เราก็พร้อมกระโดดขึ้นทันที วินาทีแรกที่ได้เห็นแม่เลี้ยวรถเข้ามาในโรงเรียนนี่แหละ ความสุขสุดยอดของฉันในตอนนั้นล่ะ อ้อ แต่ฉันก็ไม่ลืมครูเจี๊ยบผู้ใจดีนะ พอรถจะเลี้ยวออกจากรั้วโรงเรียน แม่จะชะลอรถให้พวกเราสวัสดีครูเจี๊ยบอีกทีหนึ่ง

พอขึ้นประถมความรู้สึกนั้นก็หายไปแล้ว เพราะฉันไม่ต้องนั่งคอยแม่มารับอีกต่อไป ฉันแบกกระเป๋านักเรียนใบเท่าตู้เย็นขึ้นรถเมลล์กลับบ้านพร้อมพี่สาวตั้งแต่วันแรกของประถม 1 จนพี่สาวย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ฉันก็กลับบ้านกับเพื่อน จากนั้นความสุขของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป...

วันพฤหัสบดี, มกราคม 24, 2551

ความสุขคือ...5

เมื่อวานถามเฮียพีว่าความสุขคืออะไรครับ เฮียพีตอบเสียงดังฟังชัด "คือ การแบ่งปัน"



^_______________________^



ถามเฮียพีต่อว่า เฮียทำอะไรแล้วมีความสุขครับ

สวีทพี : เฮียเรอเอิ๊กที่โรงเรียนแล้วเพื่อนๆ ก็หัวเราะกันหมดเลย

อา : แล้วเฮียมีความสุขเหรอครับ

สวีทพี : ใช่เพื่อนเฮียหัวเราะ เฮียก็ชอบ

อา : อ๋อ เฮียแบ่งปันหัวเราะให้เพื่อนก็เลยมีความสุขเหรอครับ

หลานชายทำหน้างงก่อนยิ้มแล้วบอก "อือ ใช่"

^________________________________^

วันพฤหัสบดี, มกราคม 17, 2551

ยังนึกไม่ออก

ในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีหม่นฉันมักจะว้าวุ่นใจ ไม่ใช่กลัวเปียกฝนหรืออย่างไร แต่ฉันมักจะรอคอยกลิ่นดินที่จะฟุ้งขึ้นมายามเม็ดฝนกระทบพื้น กลิ่นมันสดชื่นและเป็นเอกลักษณ์ และเอกลักษณ์นี้ก็ทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน

เราพบกันครั้งแรกในวันที่ฝนตกหนัก ฉันยืนหลบฝนอยู่ที่ระเบียงหน้าคณะ เขาขี่มอเตอร์ไซด์ฝ่าสายฝนมา มีรุ่นน้องที่ฉันรู้จักซ้อนมาข้างหลัง ทั้งคู่เปียกเสียยิ่งกว่าเปียก

หลังจากจอดรถให้รุ่นน้องของฉันลงที่หน้าคณะแล้วเขาก็วนเอารถไปจอดตรงที่จอดรถข้างๆ ตึก

"แป้ง!!" ฉันเรียกรุ่นน้องพร้อมส่งเสื้อแจ็กเก็ตให้ เพราะเห็นว่าเสื้อนิสิตที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเลย

"อุ้ย !! พี่แหม่ม ขอบคุณค่ะ" แป้งรับเสื้อแจ็กเก็ตไปห่ม พร้อมส่งยิ้มแหยๆ มาให้ฉัน

"เปียกหมดเลย แป้งไม่ชอบหน้าฝนเลย อู๊ด!! นี่พี่แหม่ม รุ่นพี่ที่เอก" แป้งหันไปเห็นเพื่อนเดินมาพอดีก็เลยแนะนำเขาให้รู้จักฉัน เขาหันมายิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มตามมารยาทที่อ่านได้ไม่ยาก

"พี่แหม่ม นี่อู๊ดค่ะ คนนี้แหละที่คิด copy คัตเอาท์ละครเวทีปีนี้อ่ะ" ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยนี่แหละ คณะของเราอยู่ติดกัน เด็กคณะนั้นมาจีบเด็กคณะเรามากจนคุ้นหน้าหลายคน แต่สำหรับนายอู๊ดคนนี้ขอบอกว่าร้อยวันพันปีฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

ฉันไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ส่งยิ้มกลับไปให้อู๊ด ละครเวทีปีนี้ฉันก็ไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรมากแค่แวะเวียนไปดูตอนน้องซ้อมบ้าง ส่งข้าว ส่งน้ำ ส่งกำลังใจ ตามประสาพี่รหัสที่มีน้องเป็นหมู่มวลอยู่ในทีมละครบ้างเท่านั้น

จากวันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีก จนเกือบเดือน ฉันแวะเอาขนมไปให้น้องรหัสที่กำลังซ้อมละครเวทีอยู่ที่คณะ

"พี่แหม่ม วันนี้เอาอะไรมาให้จ๊ะ" หลินน้องรหัสผู้ทิ้งเชื้อไปไกล เนื่องจากสายรหัสของเราส่วนมากจะอยู่ในวงวิชาการ หรือวางแผน มากกว่าออกมาอยู่แถวหน้า ถามขึ้นอย่างรู้ทัน

"ขนม..วันนี้กินข้าวรึยังเนี่ย ทีแรกพี่ว่าจะซื้อข้าวมาให้ แต่วันนี้ร้านจานใหญ่ไม่เปิด เลยไม่รู้จะไปซื้อร้านไหนดี เห็นหลินชอบกินอยู่ร้านเดียว" ฉันว่าพร้อมยื่นขนมถุงใหญ่ไปให้

"ขอบคุณคร้าบ แหม พี่แหม่มนี่น่ารักจังเลย" หลินรับถุงไปพร้อมหน้าบานๆ เราคุยเล่นกันนิดหน่อย แล้วหลินก็นึกขึ้นได้

"เออ..พี่แหม่มๆ นั่นไงไออู๊ดที่มาช่วยคิด copy อ่ะ ...โดนมาก ใครๆ ก็ถามกันว่าใครคิด เจ๋งโครต" หลินชี้ไปที่อู๊ดด้วยสาสยตาชื่นชม

"อือ รู้แล้ว วันนั้นเจอกันแล้วล่ะ แป้งเล่าให้ฟังแล้ว"

อู๊ดคงเห็นหลินชี้ไม้ชี้มือไปทางตัวเอง เขาก็เลยเดินเข้ามาหาเรา

"อะไร นินทาอะไรฉัน" เขาถามหลินด้วยสายตาคาดคั้น

"นินทา บ้าอะไรล่ะ เนี่ย กำลังชื่นชมให้พี่เขาฟังอยู่เลย" หลินส่งยิ้มหวานขอสงบศึกตั้งแต่ต้น

"อู๊ดเรียนเอกโฆษณาเหรอ" ฉันถามเพราะว่าพอรู้จักเพื่อนในเอกโฆษณาบ้าง เผื่อจะได้มีเรื่องคุยกัน

"เปล่า เราเรียนภาพพิมพ์" เขาตอบสั้นๆ

"เหรอ...วันนั้นเราเพิ่งไปดูงานที่ชอปป์ศิกำมา มีอยู่ชิ้นนึง ชอบมากเลย เป็นงาน wood cut รูปดอกทานตะวัน เราว่าสดใสดี แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่างานของใคร" ฉันนึกถึงภาพพิมพ์รูปทานตะวันสีเหลือง ส้ม แดง เขียว ลวดลายไม่ละเอียดละออ แต่ดูเป็นกราฟฟิกสนุกสนาน จำได้ว่าที่แม่พิมพ์มีชื่อเขียนไว้แต่อ่านไม่ออก ส่วนที่ชิ้นงานมีเพียงโลโก้ประจำตัวคล้ายรูปปีกเล็กๆ

อู๊ดเอาแต่ยืนยิ้มไม่พูดอะไร แล้วผู้กำกับก็เรียกนักแสดงไปซ้อม ฉันเลยได้รู้ว่าอู๊ดก็มาช่วยเล่นเป็นหมู่มวลด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไปเช็คดูตู้จดหมายที่คณะเหมือนทุกที คราวนี้ไม่มีลายมือเพื่อนซี้ที่หน้าซองกระดาษสีน้ำตาล แต่มีลายมือของใครก็ไม่รู้ จ่าหน้าซองถึงฉันด้วยชื่อจริง นามสกุลจริงเต็มยศ ฉันเปิดซองออกดูด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีก็มีแต่เพื่อนซี้คนเดียวที่จะเคยเขียนจดหมายมาหาฉันที่คณะแทนที่จะส่งไปที่บ้าน

รูปดอกทานตะวันสีสดใส พิมพ์อยู่บนกระดาษ ใสกรอบดำเรียบๆ ดูดีเชีบว ฉันพลิกหน้าพลิกหลัง เทซองแล้วก็ไม่มีข้อความอะไรอื่นเพิ่มเติม ฉันเก็บภาพนั้นใส่ซอง เดินขึ้นเรียนด้วยหัวใจเบิกบาน


............




ปล. ขอรับรองว่าข้อความทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงทุกประการ

ฟ้า

วันพุธ, มกราคม 16, 2551