วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 27, 2550

การเขียนคือการพูดความคิดของตัวเองออกมาผ่านตัวหนังสือ

เคยมีคนเปรียบเทียบการถ่ายภาพไว้ว่าเหมือนการวาดภาพด้วยแสง เพราะเมื่อเรากดชัตเตอร์ กล้องจะเปิดม่านรับแสง ปล่อยให้แสงรอดไปตกกระทบบนฟิล์ม จนเกิดเป็นรูปภาพตามที่เราเห็นผ่านช่องมองภาพ การจะได้รูปสวยหรือไม่จึงอยู่กับการกะเวลาของการเปิดรูรับแสงและการจัดองค์ประกอบของภาพ สำหรับฉันการถ่ายภาพอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบที่สุด เพราะฉันมักสนใจอยู่กับตัวหนังสือมากกว่า ฉันเลยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าการถ่ายรูปคือการวาดภาพด้วยแสง "การเขียนก็คงเหมือนกับการพูดความคิดออกมาผ่านตัวหนังสือ"

การเขียนก็เหมือนสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องคิดก่อนเขียน

เพื่อให้มีแบบแผนในการสร้างงาน หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีแนวทางให้เราเดิน จะได้ไม่เดินวนหลงทางไปกับคำของตัวเอง

การเขียนโดยที่เราไม่รู้ว่าต้องการจะบอกอะไรก็เหมือนการสร้างบ้านโดยที่เจ้าบ้านไม่รู้ความต้องการของตัวเอง เกิดว่าลงมือสร้างไปแล้ว ปรากฏว่าเจ้าของเพิ่งจะรู้ตัวว่าอยากให้มีห้องใต้ดิน คนสร้างคงต้องคิดหนักทีเดียวว่าจะแก้ไขยังไงได้

สำหรับฉันการเขียนจึงเหมือนการพูดความคิดของตัวเองออกมา แต่เป็นความคิดที่กรั่นรองมาแล้วชั้นหนึ่งเพราะการเขียนบังคับให้เราได้คิดก่อน ถึงบางครั้งเขียนไปแล้วถ้ายังไม่ถูกใจก็ยังสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ทั้งนี้ต้องไม่เปลี่ยนความต้องการหลักของเรื่องที่จะเล่านะ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องทุบพื้น หาทางเจาะบันไดลงใต้ดินกันวุ่นวายหน่อย ^^ หลายครั้งการสื่อสารด้วยการเขียนจึงประนีประนอม สระสลวยกว่าการพูด

การเขียนยังเป็นการฝึกความคิด ก็เพราะเราต้องคิดก่อนเขียน

ฉันเคยคิดว่าฉันสามารถหาเรื่องเล่าได้จากการปล่อยมือไปตามแป้นพิมพ์ คำต่อคำจนกลายเป็นเรื่องได้ ถามว่าเรื่องที่ฉันเขียนโดยปล่อยไปตามยถากรรมจบไหม...ยังไม่เคยจบสักเรื่อง...ยกเว้นเรื่องที่สั้นมากๆ

เช่น...

จริง เท็จ เท็จ จริง

จริง จริง เท็จ เท็จ

เท็จ เท็จ จริง จริง

ตึบ ตึ้บ ทึม ทึบ นึกไม่ออก

จริงหรือหลอก วานบอกเธอ

กับเธอผู้ทำให้หวั่นไหววูบวิบ

ไปกับพราวกระพริบถ้อยคำหวาน

มีไหมสักคำที่จำจาร

ฤาเพียงหว่านให้หวั่นใจ



ถามว่าคิดก่อนไหมว่าจะเล่าเรื่องอะไร..

คำตอบ..ไม่ได้คิด แต่ตอนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจในบางเรื่อง แล้วก็นั่งอยู่หน้าคอมฯ

เปิดบล็อก ดั้งเดิมสมัยนั้น...แล้วคำว่า จริง กับ เท็จ ก็ ลอยมา...

แล้วก็จิ้มไปจิ้มมา ไม่นาน...ข้อความข้างบนจบลง

ถามว่าพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเขียนออกมาไหม

คำตอบ...พอใจ...



เมื่อมาสังเกตตัวเองจึงได้รู้ว่า ไอที่เราเรียกว่ามันลอยมา หรือ ปล่อยนิ้วไปตามแป้นพิมพ์ จริงๆ แล้ว สมองเราก็คิดไปโดยอัตโนมัติ นั่นเอง มันไม่ใช่การวางแผน แต่มันก็เกิดจากความคิดที่จะเล่าความรู้สึก ณ ตอนนั้นออกไป

10 เหตุผลที่ควรเขียนทุกวัน...ไปเจอมา

10 เหตุผลที่ควรเขียนและโพสต์ทุกวัน
พอเริ่มทำบล็อกก็หาอะไรที่บล็อก ๆ มาอ่าน เผื่อจะมีแรงบันดาลใจอะไรกับคนอื่นเขาบ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรเหมือนกัน ฮ่า ๆ พอดีไปเจออันหนึ่งน่าสนใจ http://www.successful-blog.com/1/10-reasons-to-write-and-publish-every-day '10 Reasons to Write and Publish Every Day' หรือ 10 เหตุผลที่ควรเขียนและโพสต์ทุกวัน (Publish แปลในนัยนี้ภาษาไทยอะไรหว่า.. มันไม่ใช่จัดพิมพ์แน่ ๆ)มันมีเรื่องอะไรน่าสนใจให้เขียนได้ทุกวัน ๆ เลยหรือไงวะเนี่ย นอกเสียจากว่าจะเป็นไดอารี่เล่าอะไร ๆ ที่ไปทำมา แต่ถ้าเขียนแบบนั้นแล้วมีคนอยากอ่านมันก็เขียนได้ แล้วคุณอยากอ่านอะไร? บอกผมได้นะ ๕๕ อะมาดูกันดีกว่า

1. การเขียนทุกวันทำให้เราเป็นนักคิดที่ดี ทำให้เรางัดความคิดออกมาจากหัวแล้วทำให้คนข้าง ๆ เข้าใจได้ด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

2. การเขียนทุกวันทำให้เรารู้จักใช้คำสวย ๆ แฝงไปด้วยความหมาย เหมือนกับเล่นกีตาร์หรือทำเลข (ทำเลขเนี่ยนะ!? - Ben) มันต้องฝึกฝนเหมือน ๆ กัน

3. การเขียนทุกวันพัฒนาเสียงของเราให้เป็นธรรมชาติ กลมกลืน และมีพลังต่อผู้อ่าน ทุกอย่างที่เราเขียนมีผู้ฟังทั้งนั้น แม้แต่การเขียนให้ตัวเอง (ใช่เลย เขียนเองอ่านเอง ๕๕ -Ben)

4. การเขียนทุกวันทำให้เราเขียนร้อยแก้วได้ดีขึ้นจนคนอื่นเขาอยากบอกต่อเลยนะ เพราะทุกครั้งที่มีคนแชร์งานของเราเขาก็กำลังเพิ่มคุณค่าให้กับมันด้วย

5. การเขียนทุกวันทำให้เราชินกับการเขียน ทำให้สารและไอเดียที่เราจะสื่อดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

6. การเขียนทุกวันทำให้เรารู้วิธีการเขียนของเราเอง จะได้ไม่รู้สึกกลัวหรือเคว้งเวลาจะสร้างสรรค์งาน ถนัดอะไร อะไรทำได้ดี

7. การเขียนทุกวันเราจะสามารถบอกบรรณาธิการในตัวเราให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวได้จนกว่าเราจะอยากได้ความคิดเห็น

8. การเขียนทุกวันทำให้เราเป็นนักอ่านที่ดีขึ้น เข้าใจและซาบซึ้งในงานเขียนได้ (พูดภาษาบ้าน ๆ ก็หัวอกเดียวกันมั้ง ๕๕ -Ben)

9. การเขียนทุกวันเราจะได้รู้จักคนมากขึ้น เราได้เจอคนในงานเขียนมากกว่าเจอตัวต่อตัว จนคนเขาอาจรู้จักน้ำเสียงในงานเขียนของเราเหมือนกับรู้จักชื่อเราเลย

10. การเขียนทุกวันทำให้เราเป็นเหมือนสถาปนิกผู้ก่อสร้างที่สร้างประวัติศาสตร์ จินตนาการถึงอนาคต และจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อหลายคนบนโลกใบนี้

ทุก ๆ ครั้งที่เราเขียนเสียงของเราก็จะใสและชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาเขียนกันทุก ๆ วันนะครับ และถ้าอยากบอกโลกถึงเรื่องนั้น ๆ ก็เอามาโพสต์ลง blog ซะ!

แต่ไม่รู้ทำไมเขียน ๆ ไปนึกถึงประโยคหนึ่งในเพลง Pantomime ของ Incubus ขึ้นมาที่ว่า

"We say more by saying nothing at all."
"เราพูดได้มากกว่าโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย"

http://vasin.icspace.net/?p=10

จากคุณ : Saeros



สำหรับฉัน 1 เหตุผลที่ควรเขียน(อาจจะไม่ทุกวัน) เพราะฉันอยู่โดยไม่เขียนไม่ได้ ^^(เวอร์ไปไหมเนี่ย)