วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 27, 2550

การเขียนคือการพูดความคิดของตัวเองออกมาผ่านตัวหนังสือ

เคยมีคนเปรียบเทียบการถ่ายภาพไว้ว่าเหมือนการวาดภาพด้วยแสง เพราะเมื่อเรากดชัตเตอร์ กล้องจะเปิดม่านรับแสง ปล่อยให้แสงรอดไปตกกระทบบนฟิล์ม จนเกิดเป็นรูปภาพตามที่เราเห็นผ่านช่องมองภาพ การจะได้รูปสวยหรือไม่จึงอยู่กับการกะเวลาของการเปิดรูรับแสงและการจัดองค์ประกอบของภาพ สำหรับฉันการถ่ายภาพอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบที่สุด เพราะฉันมักสนใจอยู่กับตัวหนังสือมากกว่า ฉันเลยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าการถ่ายรูปคือการวาดภาพด้วยแสง "การเขียนก็คงเหมือนกับการพูดความคิดออกมาผ่านตัวหนังสือ"

การเขียนก็เหมือนสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องคิดก่อนเขียน

เพื่อให้มีแบบแผนในการสร้างงาน หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีแนวทางให้เราเดิน จะได้ไม่เดินวนหลงทางไปกับคำของตัวเอง

การเขียนโดยที่เราไม่รู้ว่าต้องการจะบอกอะไรก็เหมือนการสร้างบ้านโดยที่เจ้าบ้านไม่รู้ความต้องการของตัวเอง เกิดว่าลงมือสร้างไปแล้ว ปรากฏว่าเจ้าของเพิ่งจะรู้ตัวว่าอยากให้มีห้องใต้ดิน คนสร้างคงต้องคิดหนักทีเดียวว่าจะแก้ไขยังไงได้

สำหรับฉันการเขียนจึงเหมือนการพูดความคิดของตัวเองออกมา แต่เป็นความคิดที่กรั่นรองมาแล้วชั้นหนึ่งเพราะการเขียนบังคับให้เราได้คิดก่อน ถึงบางครั้งเขียนไปแล้วถ้ายังไม่ถูกใจก็ยังสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ทั้งนี้ต้องไม่เปลี่ยนความต้องการหลักของเรื่องที่จะเล่านะ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องทุบพื้น หาทางเจาะบันไดลงใต้ดินกันวุ่นวายหน่อย ^^ หลายครั้งการสื่อสารด้วยการเขียนจึงประนีประนอม สระสลวยกว่าการพูด

การเขียนยังเป็นการฝึกความคิด ก็เพราะเราต้องคิดก่อนเขียน

ฉันเคยคิดว่าฉันสามารถหาเรื่องเล่าได้จากการปล่อยมือไปตามแป้นพิมพ์ คำต่อคำจนกลายเป็นเรื่องได้ ถามว่าเรื่องที่ฉันเขียนโดยปล่อยไปตามยถากรรมจบไหม...ยังไม่เคยจบสักเรื่อง...ยกเว้นเรื่องที่สั้นมากๆ

เช่น...

จริง เท็จ เท็จ จริง

จริง จริง เท็จ เท็จ

เท็จ เท็จ จริง จริง

ตึบ ตึ้บ ทึม ทึบ นึกไม่ออก

จริงหรือหลอก วานบอกเธอ

กับเธอผู้ทำให้หวั่นไหววูบวิบ

ไปกับพราวกระพริบถ้อยคำหวาน

มีไหมสักคำที่จำจาร

ฤาเพียงหว่านให้หวั่นใจ



ถามว่าคิดก่อนไหมว่าจะเล่าเรื่องอะไร..

คำตอบ..ไม่ได้คิด แต่ตอนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจในบางเรื่อง แล้วก็นั่งอยู่หน้าคอมฯ

เปิดบล็อก ดั้งเดิมสมัยนั้น...แล้วคำว่า จริง กับ เท็จ ก็ ลอยมา...

แล้วก็จิ้มไปจิ้มมา ไม่นาน...ข้อความข้างบนจบลง

ถามว่าพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเขียนออกมาไหม

คำตอบ...พอใจ...



เมื่อมาสังเกตตัวเองจึงได้รู้ว่า ไอที่เราเรียกว่ามันลอยมา หรือ ปล่อยนิ้วไปตามแป้นพิมพ์ จริงๆ แล้ว สมองเราก็คิดไปโดยอัตโนมัติ นั่นเอง มันไม่ใช่การวางแผน แต่มันก็เกิดจากความคิดที่จะเล่าความรู้สึก ณ ตอนนั้นออกไป

10 เหตุผลที่ควรเขียนทุกวัน...ไปเจอมา

10 เหตุผลที่ควรเขียนและโพสต์ทุกวัน
พอเริ่มทำบล็อกก็หาอะไรที่บล็อก ๆ มาอ่าน เผื่อจะมีแรงบันดาลใจอะไรกับคนอื่นเขาบ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรเหมือนกัน ฮ่า ๆ พอดีไปเจออันหนึ่งน่าสนใจ http://www.successful-blog.com/1/10-reasons-to-write-and-publish-every-day '10 Reasons to Write and Publish Every Day' หรือ 10 เหตุผลที่ควรเขียนและโพสต์ทุกวัน (Publish แปลในนัยนี้ภาษาไทยอะไรหว่า.. มันไม่ใช่จัดพิมพ์แน่ ๆ)มันมีเรื่องอะไรน่าสนใจให้เขียนได้ทุกวัน ๆ เลยหรือไงวะเนี่ย นอกเสียจากว่าจะเป็นไดอารี่เล่าอะไร ๆ ที่ไปทำมา แต่ถ้าเขียนแบบนั้นแล้วมีคนอยากอ่านมันก็เขียนได้ แล้วคุณอยากอ่านอะไร? บอกผมได้นะ ๕๕ อะมาดูกันดีกว่า

1. การเขียนทุกวันทำให้เราเป็นนักคิดที่ดี ทำให้เรางัดความคิดออกมาจากหัวแล้วทำให้คนข้าง ๆ เข้าใจได้ด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

2. การเขียนทุกวันทำให้เรารู้จักใช้คำสวย ๆ แฝงไปด้วยความหมาย เหมือนกับเล่นกีตาร์หรือทำเลข (ทำเลขเนี่ยนะ!? - Ben) มันต้องฝึกฝนเหมือน ๆ กัน

3. การเขียนทุกวันพัฒนาเสียงของเราให้เป็นธรรมชาติ กลมกลืน และมีพลังต่อผู้อ่าน ทุกอย่างที่เราเขียนมีผู้ฟังทั้งนั้น แม้แต่การเขียนให้ตัวเอง (ใช่เลย เขียนเองอ่านเอง ๕๕ -Ben)

4. การเขียนทุกวันทำให้เราเขียนร้อยแก้วได้ดีขึ้นจนคนอื่นเขาอยากบอกต่อเลยนะ เพราะทุกครั้งที่มีคนแชร์งานของเราเขาก็กำลังเพิ่มคุณค่าให้กับมันด้วย

5. การเขียนทุกวันทำให้เราชินกับการเขียน ทำให้สารและไอเดียที่เราจะสื่อดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

6. การเขียนทุกวันทำให้เรารู้วิธีการเขียนของเราเอง จะได้ไม่รู้สึกกลัวหรือเคว้งเวลาจะสร้างสรรค์งาน ถนัดอะไร อะไรทำได้ดี

7. การเขียนทุกวันเราจะสามารถบอกบรรณาธิการในตัวเราให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวได้จนกว่าเราจะอยากได้ความคิดเห็น

8. การเขียนทุกวันทำให้เราเป็นนักอ่านที่ดีขึ้น เข้าใจและซาบซึ้งในงานเขียนได้ (พูดภาษาบ้าน ๆ ก็หัวอกเดียวกันมั้ง ๕๕ -Ben)

9. การเขียนทุกวันเราจะได้รู้จักคนมากขึ้น เราได้เจอคนในงานเขียนมากกว่าเจอตัวต่อตัว จนคนเขาอาจรู้จักน้ำเสียงในงานเขียนของเราเหมือนกับรู้จักชื่อเราเลย

10. การเขียนทุกวันทำให้เราเป็นเหมือนสถาปนิกผู้ก่อสร้างที่สร้างประวัติศาสตร์ จินตนาการถึงอนาคต และจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อหลายคนบนโลกใบนี้

ทุก ๆ ครั้งที่เราเขียนเสียงของเราก็จะใสและชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาเขียนกันทุก ๆ วันนะครับ และถ้าอยากบอกโลกถึงเรื่องนั้น ๆ ก็เอามาโพสต์ลง blog ซะ!

แต่ไม่รู้ทำไมเขียน ๆ ไปนึกถึงประโยคหนึ่งในเพลง Pantomime ของ Incubus ขึ้นมาที่ว่า

"We say more by saying nothing at all."
"เราพูดได้มากกว่าโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย"

http://vasin.icspace.net/?p=10

จากคุณ : Saeros



สำหรับฉัน 1 เหตุผลที่ควรเขียน(อาจจะไม่ทุกวัน) เพราะฉันอยู่โดยไม่เขียนไม่ได้ ^^(เวอร์ไปไหมเนี่ย)

วันอังคาร, พฤศจิกายน 27, 2550

จดหมายถึงเพื่อน

22/11/50
สวัสดีเพื่อนรัก สบายดีไหมจ๊ะ

ตอนนี้ฉันเพิ่งได้เพื่อนบ้านใหม่ รั้วติดกันนี่เอง จำได้ไหมที่ว่างซ้ายมือข้างบ้านฉันน่ะ
เจ้าของที่เขามาปลูกบ้านแล้ว หลังมหึมาได้ใจมาก

ฉันล่ะดีอกดีใจคราวนี้คงไม่เหงาแล้ว...แต่แก....ฉันคันปากยิบๆ ไม่อยากจะเม้าท์เพื่อน
บ้านหมาดๆ เลย แต่มันก็อดไม่ได้ ขอสักหน่อยนะ

หลังจากฉันเอาของขวัญขึ้นบ้านใหม่ไปให้ ก็บังเอิ๊ญ บังเอิญไปจ๊ะเอ๋ เข้ากับรถที่เพิ่งมา
ส่งสัตว์เลี้ยงของเขา...

แก...เขาเลี้ยงน้องไก่แจ้แหละ น่ารักมากเลย ตัวป้อมๆ เตี้ยๆ กลมๆ แต่เอ่อ...ดูเหมือนเขา
จะรักของเขามากนะ ฉันเห็นน้องไก่แจ้เดินเล่นอยู่เต็มสนาม...มองไปมุมไหนก็เห็นตัว
กลมๆ กะปุ๊กลุกเต็มไปหมด ถามดูได้ความว่า เขาชอบหนังเรื่อง 101 ดัมเมเชี่ยนมาก แต่
ว่าเขาชอบไก่แจ้มากกว่าน้องหมาดัมเมเชี่ยน เลยเลี้ยง 101 ไก้แจ้แทน...

โอ้ได้ยินจำนวนแล้วฉันแทบเป็นลม ไม่อยากจะคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้ยินเสียงไก่แจ้
ขันรับส่งกันทั้งแต่กี่โมงเช้า

แก...ฉันถามเขาว่าแล้วจะเหม็นขี้ไก่ไหม...เขาบอกอย่างภาคภูมิใจว่า ไม่ต้องห่วง
ไก่แจ้ของเขาเป็นพันธุ์พิเศษ นำเข้ามาจากต่างประเทศ ขี้ไก่พัธุ์นี้ไม่มีกลิ่นเหม็น
แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะให้คนงานเอาน้ำฉีดล้างทุกวัน มันจะไม่สะสมจนส่งกลิ่นมา
ถึงบ้านฉันแน่นอน

ฉันเลยถามเขาต่อว่าแล้วเรื่องไข้หวัดนกล่ะ...เจ้าตัวป้อมพวกนี้มันจะมีโอกาสเอาเชื้อ
หวัดนกมาแพร่ไหม เขาตอบฉันอย่างมั่นใจกว่าเก่าว่าตอนเขาทำเรื่องนำเข้าเจ้าพวกนี้
เขาได้ให้สัตวแพทย์ต้นทางฉีดวัคซีนมาแล้วทุกตัว เพราะฉะนั้นไก่พวกนี้ปลอดเชื้อแน่นอน
แก...เขายังบอกฉันอีกนะ ว่าถ้าฉันไม่เชื่อเขายินดีจ้างหมอมาเช็คสุขภาพให้ฉันฟรีๆ ทุกปี
เลย

แก...ฉันกลัว ฉันควรจะทำยังไงดี

เพื่อนรักแกเอง....


27/11/50
สวัสดีแก...ฉันเอง

แหมไม่ได้ติดต่อกันตั้งนานเปิดกล่องจดหมายมาเจอลายมือแกแล้วฉันอยากจะกรี๊ดดด
คิดถึงจริงๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่าเพื่อนบ้านหมาดๆ ของแกน่ะ ยังไม่เท่าไหร่หรอก
ต้องว่าที่เพื่อนบ้านของฉันสิ แน่นอนกว่า

แกจำที่เปล่าฝั่งตรงข้ามบ้านฉันได้ไหม...ถัดจากแม่น้ำไปน่ะ

ตอนนี้มีคนเขาบอกว่าเจ้าของที่กำลังจะมาปลูกโรงไฟฟ้าถ่านหิน เหอๆๆๆ ใช่แก...
อ่านไม่ผิดหรอกโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่จะเป็นแหล่งรองรับการเจริญเติบโตของภาคอุต
สาหกรรมแถวบ้านฉัน ฟังดูโก้เก๋ดีไหมล่ะ

พอได้ข่าวปุ๊บ ฉันก็ไม่รอช้ารีบหาข้อมูลปั๊บ

แก...เขาลือกันให้แซดว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินมันจะมาทำลายชุมชน มันจะเอามลพิษ
มากมายมาสู่บ้านฉัน

เขาบอกว่าการเผาไหม้ถ่านหินจะก่อให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน
สารประกอบของปรอท แคดเมียม ตะกั่ว อาร์เซนิก นิกเกิลและก๊าซคาร์บอกไดออกไซด์....
แก...ดีนะที่เราเรียนสายวิทย์กันมา แกจำได้ไหม ครูรำพึงเคยบอกว่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
มันทำให้เกิดอะไร

ฉันพอจำได้เลาๆ ว่าถ้ามันไปรวมกับน้ำมันจะกลายเป็นกรด กัดกร่อนทุกอย่าง แล้วคิดดูสิ
ถ้าไอโรงไฟฟ้าถ่านหินมันปล่อยก๊าซพวกนี้ออกมา เวลาฝนตกลงมา มันก็กลายเป็นฝนกรด
ใช่ไหม หรือถึงมันจะไม่รวมกับน้ำแต่ถ้าฉันก็ต้องหายใจเอาสารพวกนี้เข้าไปทุกวันๆ
ชีวิตฉันจะเป็นยังไงเนี่ย...

แล้วฉันยังไปอ่านเจออีกว่าที่อเมริกาเขาไปทำวิจัยกันโดยการจับปลาที่อาศัยบริเวณใต้ลม
ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ปลาที่จับมาได้จะมีปริมาณสารปรอทมากกว่าปลาทั่วไป คิดดูสิ
เวลาเรากินปลาเข้าไปมันก็เท่ากับเรากินสารปรอทเข้าไปด้วย ที่เลวร้ายที่สุดอีตาดอกเตอร์
ช่างค้นคว้ายังบอกอีกว่า สารตัวนี้เป็นบ่อเกิดของโรงมะเร็ง แก...แล้วอย่างนี้ปลาในแม่น้ำ
ข้างบ้านฉันคงกินไม่ได้อีกแล้วสิเนี่ย

อ้อ แถมฉันยังรู้มาอีกว่า การทำโรงไฟฟ้าถ่านหินอาจจะต้องสร้างท่าเรือน้ำลึก เพื่อเป็นท่าเทียบ
เรือขนถ่ายถ่านหิน ซึ่งอันนี้ก็น่ากลัวไม่น้อยนะ เพราะการทำท่าเรือน้ำลึกจะทำให้เกิดความเปลี่ยน
แปลงของสภาพแม่น้ำ รวมถึงการไหลของกระแสน้ำ แล้วแกคิดดูสิ น้องปลาโลมาที่ว่ายเวียน
มาทุกปีๆ จะยังมานอนเล่นให้ฉันพาแกไปมองมันอีกไหม...

นี่ยังไม่นับรวมชาวบ้านที่อาศัยแม่น้ำเป็นแหล่งทำมาหากินที่จะต้องได้รับผลกระทบอีกนะ

ข่าวล่าสุดเห็นว่าเจ้าของที่เขาส่งผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปให้รัฐบาลแล้ว
แก...ฉันยังไม่รู้เลยว่าเขามาสำรวจไปเมื่อไหร่ แล้วผลสำรวจออกมาเป็นยังไง ฉันจะไปถามใคร
ที่ไหนได้บ้าง...แกช่วยบอกฉันที

ปล.ดูเหมือนดวงเราจะคล้ายกันแต่ยังไงฉันก็ว่าเพื่อนบ้านฉันคงน่ากลัวกว่าเพื่อนบ้านแกแน่ๆ

รักและเป็นห่วง

กอบมณี เพื่อนแกเอง...

วันพุธ, พฤศจิกายน 14, 2550

ดอกข้าวใหม่

เมื่อคราวเดินเล่นอยู่ที่รังสิตคลอง 15 เดินๆ อยู่เพื่อนก็ทักว่า นั่นไงชำมะนาด ฉันก็นึกเถียงอยู่ในใจว่ามีที่ไหน ชำมะนาด ไม่เคยได้ยิน เคยได้ยินแต่ “ชมนาด” ฉันได้แต่เก็บคำโต้แย้งไว้ในใจเพราะตัวเองไม่สันทัดเรื่องต้นไม้มากนัก

เดินเข้าไปดูใกล้ๆ...อืมม์ เพิ่งจะรู้ว่าชมนาดเป็นไม้เลื้อย ดอกสีขาวกลีบดอกเชื่อมติดกันคล้ายดอกมะเขือแต่ขนาดเล็กกว่า เพื่อนคนเดิมรีบบอกว่าลองดมดูสิ ดอกหอม...

ฉันไม่รอช้ารีบก้มลงดมทันที....หอมอ่อนๆ กลิ่นคุ้นๆ คล้ายอะไรน๊าาาาา นึกไม่ออก

“เหมือนกลิ่นข้าวสุกใหม่ๆ ไหม” เพื่อนถาม

เออ...ใช่กลิ่นหอมเหมือนข้าวสุก....มิน่าคุ้นมากเลย แต่ฉันก็ไม่ได้ซื้อต้นชมนาดกลับมา...กลับได้บางอย่างกลับมาแทน

ฉันคลี่คลายความสงสัยโดยเข้าไปท่องโลกไซเบอร์ เมื่อใส่คำว่า "ชมนาด" ลงไปในเซิร์ชเอนจินก็ได้ผลลัพธ์ก็ออกมานับพัน และฉันก็ได้คำตอบ

ชมนาด หรือ ชำมะนาด หรือ ดอกข้าวใหม่ หรือที่คนเหนือเรียกว่า อ้มส้ายมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vallaris glabra Ktze เป็นไม้ที่อยู่ในวงศ์ APOCYNACEAE หรือวงศ์ไม้ลั่นทม ลักษณะของไม้ในวงศ์นี้คือพันธุ์ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น บางชนิดเป็นไม้ล้มลุกหรือเป็นไม้เลื้อย ที่ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางขาว เช่น ชวนชม, พญาสัตบรรณ, ตีนเป็ดน้ำ, พุดสวน, โมกใหญ่, อุนากรรณ, พุดชมพู, ยี่โถ, ลั่นทม, รำเพย และชมนาด เป็นต้น

ชมนาดมีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินโดนีเซียเมื่อนำมาปลูกในประเทศไทยสามารถเติบโตได้ในทุกภาค และสามารถติดดอกได้ตลอดปี ข้อสังเกตคือชอบแสงแดดเต็มวันหากอยู่ในที่ร่มมากไปจะไม่ออกดอก การขยายพันธุ์ไม้หอมชนิดนี้สามารถทำได้หลายวิธีทั้งการเพาะเมล็ด ปักชำและตอนกิ่ง การดูแลก็ไม่ยากเพียงรดน้ำใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ควบคู่กับปุ๋ยหมักเดือนละครั้ง นอกนั้นก็รดน้ำพรวนดินตามปกติเหมือนต้นไม้ทั่วไป

หลังจากได้ข้อมูลเบื้องต้นมาแล้วฉันก็หวนกลับไปร้านต้นไม้ แต่คราวนี้เป็นร้านต้นไม้ของเพื่อนที่กำลังจะเปิดที่บางคล้า...ฉะเชิงเทรา ฉันถามหาต้นชมนาด เพื่อนว่าที่ร้านมีอยู่เพียงต้นเดียวเลื้อยอยู่หลังร้านไม่ได้คิดจะขาย แต่คิดจะปลูกไว้ให้ส่งกลิ่นหอมกล่อมตัวเอง....

ฉันเดินไปดูหลังร้านเห็นชมนาดเลื้อยขี้นไปจนเหนือหัวแล้วแต่ยังไม่มีดอก เขาบอกว่า ถ้าออกดอกเมื่อไหร่คงหอมเย็นชื่นใจ....
ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าหน้าหนาวปีนี้ก่อนเปิดร้านดอกข้าวใหม่จะบานที่บางคล้า...เพื่อว่าคนต้นไม้จะมีกำลังใจทำงานขึ้น

“ดอกขาวราวข้าวสวย
กลิ่นระรวย ราวข้าวหอม
เมื่อแย้มใคร่ดมดอม
กลิ่นกลมกล่อมระรวยริน”

วันพุธ, พฤศจิกายน 07, 2550

ร้านกาแฟ กับ ต้นไม้

"กลิ่นกรุ่นๆ เคยคุ้น ระเรื่อยมา
ชวนให้หารสขมที่หอมหวาน
รสและกลิ่นกรุ่นไอยังจำจาร
ขมที่หวานผ่านลิ้นยังติดตรึง"
--------------------------------
เชื่อว่าเมื่อพูดถึงกาแฟ หลายๆ คนคงนึกถึงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ และถ้าพูดถึงร้านกาแฟ นอกจากกลิ่นหอมแล้วหลายคนก็คงนึกถึงบรรยากาศสบายๆ สำหรับนั่งพูดคุย อ่านนั่งสือ หรือ บางคนอาจใช้ร้านกาแฟเป็นที่นั่งทอดอารมณ์
m
วันนี้ฉันได้พบร้านกาแฟที่มีบรรยากาศต่างออกไป ที่ว่าต่างออกไปเพราะร้านกาแฟในกรุงเทพฯ ส่วนมากจะอยู่ตามห้างสรรพสินค้า หรือถ้าเป็นร้านเดี่ยวส่วนมากก็จะต้องมีเครื่องปรับอากาศ แต่ร้านกาแฟแห่งนี้ แม้จะไม่เย็นฉ่ำไปด้วยแอร์ หรือไม่อบอวลไปด้วยกลิ่นของเครื่องดื่ม แต่ก็อุ่นไอไปด้วยร่มไม้ มิตรภาพ และ รอยยิ้ม
m
"ร้านกาแฟกับต้นไม้" รังสิตคลอง 15 หลายๆ คนคงรู้ว่าเป็นแหล่งจับจ่ายหาซื้อต้นไม้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ยืนต้น หรือไม้กระถาง แต่ถ้าพูดถึงกาแฟ ใครจะเชื่อว่าแถวนั้นเขามีร้านกาแฟที่น่านั่งด้วย ลองไปดูบรรยากาศกัน ^^
==========================