วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 08, 2551

ตรุษจีนของเฮีย

เมื่อวานซืน เป็นวันไหว้ ตามธรรมเนียมที่บ้านก็จะไหว้เจ้าที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปไหว้ที่ร้าน แล้วปิดท้ายไปไหว้อากง-อาม่าที่บ้านอาแปะที่กรุงเทพฯ ซึ่งหลังจากการไหว้แต่ละที่ก็จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทอง นี่แหละๆ เหตุเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

สวีทพี : อาคร้าบ...โน่นๆ อากงเผาคาบอนไดออกไซด์ (เฮียพีชี้ไปทางที่อากงกำลังเผากระดาษอยู่) เดี๋ยวเฮียต้องไปดับก่อนนะ
ขณะที่อากำลังนั่งหัวเราะดูหลานวิ่งไปก็ได้ยินเสียงเฮียพีตะโกนถามอากง "อากงเผาคาบอนไดออกไซด์ทำไม"
อากง : อากงไหว้เจ้า หนูอย่ามายุ่ง มันร้อน
ฉันแอบเห็นเฮียพีมองซ้าย มองขวาเหมือนกำลังหาอุปกรณ์มาดับไฟเลยต้องรีบเดินไปสมทบ
อา : เฮียพีครับ เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งดับ วันนี้มันเป็นวันพิเศษน่ะ วันนี้คนจะเผากระดาษเยอะแยะเลย เหมือนที่เฮียได้หยุดโรงเรียนไง
(อาพยายามหาคำอธิบายกลางๆ เพราะกลัวหลานสับสน)
สวีทพี : เหรอ วันนี้วันพิเศษก็เลยเผาคาบอนไดออกไซด์ได้เหรอ แล้วโลกไม่ร้อนเหรออา..
อา : .....!! เอ่อ...ไม่ว่าเผาอะไรวันไหนก็ทำให้โลกร้อนทั้งนั้นแหละครับ แต่ในเมื่อวันนี้เป็นวันพิเศษที่เราต้องเผากระดาษไปให้เหล่ากง เหล่าม่า แล้วก็เจ้าทั้งหลาย เราก็เลยต้องปลูกต้นไม้ชดเชยไงเฮีย .. เหมือนวันนั้นที่อาลืมเอาแก้วน้ำไปรับเฮียที่โรงเรียน แต่เฮียกับน้องหิวน้ำมาก อาเลยยอมซื้อน้ำให้ แต่เราตกลงกันว่าต้องกลับบ้านมาปลูกต้นไม้ชดเชยไง จำได้ไหมครับ
สวีทพี : อ้าว แต่เมื่อวันนั้นเฮียก็ยังไม่ได้ปลูกต้นไม้เลย
อา : ใช่สิก็เฮียเกเรไง เพราะฉะนั้นเฮียติดต้นไม้อากี่ต้นแล้วครับ
สวีทพี : อืมม์ แต่วันนี้เฮียไม่ได้เผาคาบอนไดออกไซด์นะ อากงเผาเอง...
อา : ...!!! เอาเป็นว่าอาปลูกแทนอากงเอง แต่เฮียต้องปลูกของเฮียนะ ตกลงไหม
สวีทพี : คร้าบบบบบบบ

^_________________^ แต่จนวันนี้ก็ยังไม่ได้ปลูกต้นไม้เลยอ่ะ
ปล. บางทีบางเรื่องก็ยาก และลำบากใจนะ เรื่องของธรรมเนียม วัฒนธรรม ความเชื่อ และจิตใจ เป็นเรื่องยาก

วันศุกร์, มกราคม 25, 2551

ความสุขคือ...6

ตอนอนุบาล จำได้ว่า ความสุขคือการได้กลับบ้าน เหตุผลง่ายมากเลย
เพราะว่าเรา 3 พี่น้องมักจะกลับบ้านเป็น 3 คนสุดท้ายประจำ!!!

เรื่องมีอยู่ว่าฉันเรียนโรงเรียนอนุบาลบูรณะศึกษา ส่วนพี่ๆ เรียนอยู่โรงเรียนบูรณะศึกษาจะว่าไปแล้วมันคือโรงเรียนเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนละฝั่งถนน

ตอนเลิกเรียนฉันก็คงวิ่งเล่น หรือทำอะไรไปตามภาษาเด็กนั่นแหละ จำไม่ค่อยได้หรอกแต่ที่จำได้แม่นคือฉันมักจะเห็นเพื่อนเดินไปหาพ่อแม่ ทีละคนสองคน จนไม่เหลือใครเลย นอกจากฉันและครูเวรที่คงอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว แต่แม่ฉันก็ยังไม่มารับสักที

คุณครูเวรจึงมีหน้าที่พาฉันข้ามถนนมาฝั่งโรงเรียนประถม ฉันเริ่มมีความสุขขึ้นมาหน่อยเมื่อได้เจอพี่ๆ เราเล่นอะไรกันจนเบื่อแล้วแม่ก็ยังไม่มา ฟ้ามืดแล้ว ครูเจี๊ยบ(ครูโรงเรียนประถม)คงกลัวพวกเราหิว ครูเจี๊ยบเดินหายไปทางโรงอาหารไม่นานก็กลับมาพร้อมขนมปัง 3 ชิ้น แสงไฟหน้ารถเลี้ยวเข้ามาพวกเรารีบวิ่งไปหยิบกระเป๋า แม่จอดรดเมื่อไหร่เราก็พร้อมกระโดดขึ้นทันที วินาทีแรกที่ได้เห็นแม่เลี้ยวรถเข้ามาในโรงเรียนนี่แหละ ความสุขสุดยอดของฉันในตอนนั้นล่ะ อ้อ แต่ฉันก็ไม่ลืมครูเจี๊ยบผู้ใจดีนะ พอรถจะเลี้ยวออกจากรั้วโรงเรียน แม่จะชะลอรถให้พวกเราสวัสดีครูเจี๊ยบอีกทีหนึ่ง

พอขึ้นประถมความรู้สึกนั้นก็หายไปแล้ว เพราะฉันไม่ต้องนั่งคอยแม่มารับอีกต่อไป ฉันแบกกระเป๋านักเรียนใบเท่าตู้เย็นขึ้นรถเมลล์กลับบ้านพร้อมพี่สาวตั้งแต่วันแรกของประถม 1 จนพี่สาวย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ฉันก็กลับบ้านกับเพื่อน จากนั้นความสุขของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป...

วันพฤหัสบดี, มกราคม 24, 2551

ความสุขคือ...5

เมื่อวานถามเฮียพีว่าความสุขคืออะไรครับ เฮียพีตอบเสียงดังฟังชัด "คือ การแบ่งปัน"



^_______________________^



ถามเฮียพีต่อว่า เฮียทำอะไรแล้วมีความสุขครับ

สวีทพี : เฮียเรอเอิ๊กที่โรงเรียนแล้วเพื่อนๆ ก็หัวเราะกันหมดเลย

อา : แล้วเฮียมีความสุขเหรอครับ

สวีทพี : ใช่เพื่อนเฮียหัวเราะ เฮียก็ชอบ

อา : อ๋อ เฮียแบ่งปันหัวเราะให้เพื่อนก็เลยมีความสุขเหรอครับ

หลานชายทำหน้างงก่อนยิ้มแล้วบอก "อือ ใช่"

^________________________________^

วันพฤหัสบดี, มกราคม 17, 2551

ยังนึกไม่ออก

ในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีหม่นฉันมักจะว้าวุ่นใจ ไม่ใช่กลัวเปียกฝนหรืออย่างไร แต่ฉันมักจะรอคอยกลิ่นดินที่จะฟุ้งขึ้นมายามเม็ดฝนกระทบพื้น กลิ่นมันสดชื่นและเป็นเอกลักษณ์ และเอกลักษณ์นี้ก็ทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน

เราพบกันครั้งแรกในวันที่ฝนตกหนัก ฉันยืนหลบฝนอยู่ที่ระเบียงหน้าคณะ เขาขี่มอเตอร์ไซด์ฝ่าสายฝนมา มีรุ่นน้องที่ฉันรู้จักซ้อนมาข้างหลัง ทั้งคู่เปียกเสียยิ่งกว่าเปียก

หลังจากจอดรถให้รุ่นน้องของฉันลงที่หน้าคณะแล้วเขาก็วนเอารถไปจอดตรงที่จอดรถข้างๆ ตึก

"แป้ง!!" ฉันเรียกรุ่นน้องพร้อมส่งเสื้อแจ็กเก็ตให้ เพราะเห็นว่าเสื้อนิสิตที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเลย

"อุ้ย !! พี่แหม่ม ขอบคุณค่ะ" แป้งรับเสื้อแจ็กเก็ตไปห่ม พร้อมส่งยิ้มแหยๆ มาให้ฉัน

"เปียกหมดเลย แป้งไม่ชอบหน้าฝนเลย อู๊ด!! นี่พี่แหม่ม รุ่นพี่ที่เอก" แป้งหันไปเห็นเพื่อนเดินมาพอดีก็เลยแนะนำเขาให้รู้จักฉัน เขาหันมายิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มตามมารยาทที่อ่านได้ไม่ยาก

"พี่แหม่ม นี่อู๊ดค่ะ คนนี้แหละที่คิด copy คัตเอาท์ละครเวทีปีนี้อ่ะ" ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยนี่แหละ คณะของเราอยู่ติดกัน เด็กคณะนั้นมาจีบเด็กคณะเรามากจนคุ้นหน้าหลายคน แต่สำหรับนายอู๊ดคนนี้ขอบอกว่าร้อยวันพันปีฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

ฉันไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ส่งยิ้มกลับไปให้อู๊ด ละครเวทีปีนี้ฉันก็ไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรมากแค่แวะเวียนไปดูตอนน้องซ้อมบ้าง ส่งข้าว ส่งน้ำ ส่งกำลังใจ ตามประสาพี่รหัสที่มีน้องเป็นหมู่มวลอยู่ในทีมละครบ้างเท่านั้น

จากวันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีก จนเกือบเดือน ฉันแวะเอาขนมไปให้น้องรหัสที่กำลังซ้อมละครเวทีอยู่ที่คณะ

"พี่แหม่ม วันนี้เอาอะไรมาให้จ๊ะ" หลินน้องรหัสผู้ทิ้งเชื้อไปไกล เนื่องจากสายรหัสของเราส่วนมากจะอยู่ในวงวิชาการ หรือวางแผน มากกว่าออกมาอยู่แถวหน้า ถามขึ้นอย่างรู้ทัน

"ขนม..วันนี้กินข้าวรึยังเนี่ย ทีแรกพี่ว่าจะซื้อข้าวมาให้ แต่วันนี้ร้านจานใหญ่ไม่เปิด เลยไม่รู้จะไปซื้อร้านไหนดี เห็นหลินชอบกินอยู่ร้านเดียว" ฉันว่าพร้อมยื่นขนมถุงใหญ่ไปให้

"ขอบคุณคร้าบ แหม พี่แหม่มนี่น่ารักจังเลย" หลินรับถุงไปพร้อมหน้าบานๆ เราคุยเล่นกันนิดหน่อย แล้วหลินก็นึกขึ้นได้

"เออ..พี่แหม่มๆ นั่นไงไออู๊ดที่มาช่วยคิด copy อ่ะ ...โดนมาก ใครๆ ก็ถามกันว่าใครคิด เจ๋งโครต" หลินชี้ไปที่อู๊ดด้วยสาสยตาชื่นชม

"อือ รู้แล้ว วันนั้นเจอกันแล้วล่ะ แป้งเล่าให้ฟังแล้ว"

อู๊ดคงเห็นหลินชี้ไม้ชี้มือไปทางตัวเอง เขาก็เลยเดินเข้ามาหาเรา

"อะไร นินทาอะไรฉัน" เขาถามหลินด้วยสายตาคาดคั้น

"นินทา บ้าอะไรล่ะ เนี่ย กำลังชื่นชมให้พี่เขาฟังอยู่เลย" หลินส่งยิ้มหวานขอสงบศึกตั้งแต่ต้น

"อู๊ดเรียนเอกโฆษณาเหรอ" ฉันถามเพราะว่าพอรู้จักเพื่อนในเอกโฆษณาบ้าง เผื่อจะได้มีเรื่องคุยกัน

"เปล่า เราเรียนภาพพิมพ์" เขาตอบสั้นๆ

"เหรอ...วันนั้นเราเพิ่งไปดูงานที่ชอปป์ศิกำมา มีอยู่ชิ้นนึง ชอบมากเลย เป็นงาน wood cut รูปดอกทานตะวัน เราว่าสดใสดี แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่างานของใคร" ฉันนึกถึงภาพพิมพ์รูปทานตะวันสีเหลือง ส้ม แดง เขียว ลวดลายไม่ละเอียดละออ แต่ดูเป็นกราฟฟิกสนุกสนาน จำได้ว่าที่แม่พิมพ์มีชื่อเขียนไว้แต่อ่านไม่ออก ส่วนที่ชิ้นงานมีเพียงโลโก้ประจำตัวคล้ายรูปปีกเล็กๆ

อู๊ดเอาแต่ยืนยิ้มไม่พูดอะไร แล้วผู้กำกับก็เรียกนักแสดงไปซ้อม ฉันเลยได้รู้ว่าอู๊ดก็มาช่วยเล่นเป็นหมู่มวลด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไปเช็คดูตู้จดหมายที่คณะเหมือนทุกที คราวนี้ไม่มีลายมือเพื่อนซี้ที่หน้าซองกระดาษสีน้ำตาล แต่มีลายมือของใครก็ไม่รู้ จ่าหน้าซองถึงฉันด้วยชื่อจริง นามสกุลจริงเต็มยศ ฉันเปิดซองออกดูด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีก็มีแต่เพื่อนซี้คนเดียวที่จะเคยเขียนจดหมายมาหาฉันที่คณะแทนที่จะส่งไปที่บ้าน

รูปดอกทานตะวันสีสดใส พิมพ์อยู่บนกระดาษ ใสกรอบดำเรียบๆ ดูดีเชีบว ฉันพลิกหน้าพลิกหลัง เทซองแล้วก็ไม่มีข้อความอะไรอื่นเพิ่มเติม ฉันเก็บภาพนั้นใส่ซอง เดินขึ้นเรียนด้วยหัวใจเบิกบาน


............




ปล. ขอรับรองว่าข้อความทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงทุกประการ

ฟ้า

วันพุธ, มกราคม 16, 2551

วันอังคาร, มกราคม 15, 2551

พลังงานสีฟ้า

พลังงานสีฟ้า...วันนี้ท่องไปในโลกไซเบอร์เหมือนเดิม ไปจ๊ะเอ๋กับ องค์กรไม่หวังผลกำไรแห่งหนึ่ง
เขาเรียกตัวเองว่า blueEnergy



กลุ่มพลังงานสีฟ้าก่อตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะจัดสรรค์พลังงานยั่งยืนที่สะอาดและประหยัดให้กับกลุ่มคนในประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างนิคารากัว ประเทศที่มีประชากรกว่า 5 ล้านคนที่อาศัยอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้

บางทีการพูดว่าไม่มีไฟฟ้าใช้ก็ทำให้เห็นภาพที่ต่างไปจาก "การที่ประชากรเหล่านั้นสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้า"

ว่าไปเดี๋ยวจะออกนอกเรื่องกลายเป็นเรื่อง"มีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องนำไฟฟ้าเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนพื้นเมือง"

เอาเป็นว่าวันนี้เราจะมาด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทางกลุ่มพลังงานสีฟ้ามุ่งเน้นเพื่อการเสริมสร้างทางปัญญาและสาธารณสุข ^^

เมื่อก่อนนี้เราอาจเห็นภาพประเทศที่พัฒนาแล้วไปตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำมันดีเซลซึ่ง้ป็นพลังงานไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำให้แก่ปรเทศด้อยพัฒนาเพื่อเป็นการสนับสนุนหรือช่วยเหลือ แต่กลุ่มพลังงานสีฟ้ามองว่าการทำอย่างนั้นเป็นการช่วยพัฒนาที่ขาดความรอบคอบเกินไป
พวกเขาจึงได้คิดค้นเทคโนโลยีพลังงานสีฟ้าขึ้นมาแล้วนำไปติดตั้งยังพื้นที่ๆ เหมาะสม ซึ่งในที่นี่เริ่มจากประเทศนิการากัว

พลังงานสีฟ้าใช้เทคโนโลยี 2 อย่างควบกัน คือการสร้างกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม หลักการคือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในเวลาปกติที่มีแสงแดด และในเวลาที่ฟ้ามืดฝนตก แน่นอนมันต้องมีลม ยามนั้นเราจะสร้างพลังงานจากลมแทนดวงตะวัน ^^

ฟังดูดีไหมล่ะ

รายละเอียดเดี๋ยวมาต่อนะ...เอิ๊กๆๆ ไปรับหลานก่อน

อ้อ แต่ในขณะที่ประเทศอื่นกำลังพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนและสะอาดขึ้นทุกวันๆ พี่ไทยก็กำลังมองหาแหล่งพลังงานสำรองจากการต้องการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินหลายโรง และในอีก 13 ปีข้างหน้ามีคนออกมายืนยันกับฉันทางโทรศัพท์ว่ายังไงๆ เราก็ต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เพราะถ้าสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ค่าไฟฟ้าอาจจะขึ้นเป็น 10 บาทต่อหน่วย

คนไทยมองแค่นี้หรือ เอิ๊กๆๆๆ ต้องไปแล้ว ^^

พัฒนาการ

วันนี้ไม่ได้จะพาไปเที่ยวเซ็นทรัลพัฒนาการหรอกนะ เอิ๊กๆๆ ^^

แต่เมื่อวานนี้เล่าเรื่องเซ็นทรัลลาดมะพร้าวแล้วก็นึกได้ว่าหลานเราก็มีพัฒนาการทางภาษานะเนี่ย

เรื่องมีอยู่ว่า หลานๆ ชอบกินวุ้นมะพร้าวมาก...คุณย่าก็เอาใจหลานสุดฤทธิ์ เปิดตู้เย็นทีไรเป็นต้องเจอวุ้นในลูกมะพร้าววางอยู่คราวละ 4-5 ลูก

วันนึงหลานสาวกำลังนั่งจ้วงวุ้นในลูกมะพร้าวอย่างอเร็ดอร่อย อานึกอยากลองใจหลานขึ้นมาเฉยๆ

อา : พำพำคะ พำพำ

ลูกพลัม : อะไร หลานสาวเงยหน้ามามองส่งสายตารำคาญเล็กน้อย

อา : โห...ทำไมวันนี้ดุจัง ^^"

ลูกพลัม : ป่าวดุ เรียกทำไมคะ

อา : อร่อยไหมคะ

ลูกพลัม : อร่อยค่ะ คราวนี้หลานสาวยิ้มแต้

อา : อากินมั่งได้ไหมคะ

ลูกพลัม : ได้ค่ะ ว่าแล้วหลานสาวก็จ้วงวุ่นในลูกมะพร้าวส่งเข้าปากอา...

อา : โห...อร่อยจริงๆ ด้วย เขาเรียกว่าอะไรอ่ะคะ

ลูกพลัม : วุ้นมะเท้า !!!

หลานช้านนนนนนนนนนนนนน เอิ๊กๆๆๆ

อา : เขาเรียกลูกมะพร้าวค่ะลูกขา...

ลูกพลัม : อ้าวเหรอ แต่เฮียเรียกมะเท้านะ !!!

อา : เฮียพี คร้าบบบบ

สวีทพี : คร้าบบบบ

อา : อันนี้เรียกว่าอะไรลูก อาชี้มือไปที่ลูกมะพร้าว

สวีทพี : มะเท้าคับ !!! หลานชายตอบหน้าตาเฉย

อา : เขาเรียกมะพร้าวลูก มะพร้าว..ดูปาก...มะพร้าว...

สวีทพี : มะพ้าวววว

ลูกพลัม : มะพร้าววว

อา : นี่น้องพูดมี ร.เรือ ด้วยเก่งจัง



เห็นไหมล่ะคะว่าหลานๆ มีพัฒนาการไม่อย่างนั้น เฮียกับน้องและป้า คงได้ไปเที่ยวเซ็นทรัลลาดมะเท้ากันแน่ เอิ๊กๆๆ

ปล.แต่จนเดี๋ยวนี้เฮียพีก็ยังพูดไม่ชัดอ่ะ เคยถามคุณหมอเมื่อประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว คุณหมอบอกว่าเด็กผู้ชายจะมีพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าเด็กผู้หญิง วันนี้อยากจะบอกคุณหมอว่า "เฮียพูดไม่ชัดจริงๆ นะ"

ง่ะ T___________T

วันจันทร์, มกราคม 14, 2551

เต่า กับ กระต่าย/ หน้าที่ กับ ชีวิต

เพื่อนคนหนึ่งเคยเขียนแคนโต้ไว้ว่า

"เต่ากินผักบุ้ง
กระต่ายกินผักบุ้ง
แต่ไม่เหมือนกัน"

เป็นประโยคง่ายๆ ที่เป็นความจริง แล้วก็พาให้คิดอะไรได้อีกมากมาย

จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มีความเหมือนกันอยู่ 1 อย่าง เราต่างมีช่วงเวลาแค่ 1 ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของ แต่เราก็ไม่เหมือนกัน

ของทุกอย่างเกิดมาบนโลกนี้โดยมีหน้าที่ของตนเอง

ต้นไม้มีหน้าที่สร้างอาหารจากแสงแดด ถ้าถามความสมัครใจของต้นไม้ มันอาจะไม่ได้อยากสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้คนหายใจ เพื่อมาตัดไม้ทำลายป่า แต่เมื่อมันคือหน้าที่มันจึงทำ ทำอย่างไม่เคยทวงบุญคุณและมันก็ทำได้แค่ 1 ชีวิตของมัน

ผีเสื้อมีหน้าที่หาอาหาร ดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ถ้าถามมันว่าอยากจะช่วยดอกไม้แพร่พันธุ์ไหม มันอาจจะบอกว่ามันหยิ่งเกินไป แต่เมื่อมันคือหน้าที่ มันจึงทำ โดยไม่เคยนับว่ามันได้แพร่กระจายดอกไม้ไปกี่ต้นแล้วใน 1 ชีวิต

เก้าอี้มีหน้าที่รองรับก้นใครต่อใคร ถ้าถามมันว่าอยากดมก้นคนนั้นคนนี้ไหม มันอาจจะบอกว่าเหม็นจะตาย แต่เมื่อมันมีหน้าที่มันจึงทำ
โดยไม่เคยออกปากบ่นตลอด 1 ชีวิตของการเป็นเก้าอี้ที่ดี

แล้วคนอย่างเราล่ะมีหน้าที่อะไร เลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดด้วยสัมมาอาชีพ เลี้ยงพ่อแม่ทดแทนบุญคุณ เลี้ยงลูกตามความรับผิดชอบ หรือแท้จริงคนมีหน้าที่มากกว่านั้น ฉันก็ไม่รู้

แต่เมื่อเรามองว่าทุกสิ่งมีหน้าที่ที่ต้องทำในช่วงเวลา 1 อายุไข เราก็ควรศึกษาดูให้ดีเพื่อให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร แล้วทำมันอย่างดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อโลก

ชีวิตของเรา เราทำอะไรไปบ้างกระทบถึงอะไรบ้าง...เพราะเพียงแค่เด็ดดอกไม้ยังสะเทือนถึงดวงดาว

ขอบคุณผู้จุดประกายจากมรดกของพุทธทาส
มรดกที่ ๕๗. ธรรมะ คือ สิ่งที่เรียกกันในภาษาไทยว่า "หน้าที่" ของ ทุกสิ่ง ที่มีชีวิต อันเขาจะต้องทำ เพื่อความรอด ทั้งทางกาย และทางจิต ทั้งเพื่อตนเอง และ เพื่อสังคม แม้จะแปลคำ คำนี้ กันว่า คำสั่งสอน การเรียน การปฏิบัติ ความหมายสำคัญ ก็ยังคงอยู่ที่ ความเป็นหน้าที่ เพื่อความรอด ดังนั้น เมื่อใด มีการทำหน้าที่ เมื่อนั้น ก็คือ การปฏิบัติธรรม.

ให้/ รับ/ ปัน/ แบ่ง/ แลก/ เปลี่ยน

เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย ฉันเคยเห็นตัวเลขสถิติบ้างว่าโดยเฉลี่ยคนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด แต่บ้างที่ก็อ้าง แค่ 3 หรือ 7 บรรทัดเท่านั้น

ในขณะที่คนไทยคำนึงถึงตัวเลข 8 บรรทัดต่อปี แต่เมื่อไปเปิดหาตัวเลขทางสถิติการอ่านของชาวอเมริกันจะพบว่าเขามีการศึกษาอย่างละเอียดมาก เด็กอายุเท่านี้ถึงเท่านั้น สามารถอ่านได้ถึงระดับไหน อ่านแล้วจับใจความได้ไหม อ่านออกเสียงถูกต้องหรือไม่ นิสัยการอ่านเป็นอย่างไร

เห็นสถิติของชาวเอมริกันแล้วให้ตกใจว่าบ้านเราไม่มีการศึกษาแบบเขาบ้างหรือ ดังนั้นฉันจึงลองหาข้อมูลใหม่ และแล้วก็ได้รู้ว่าความจริงเพิ่มเติมว่าคนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 1.59 ชั่วโมง คิดแล้วเฉลี่ย 5 เล่ม/คน/ปี แต่ทั้งหมดเป็นสาระเพียง 7-8 บรรทัดเท่านั้น

งั้นเรามาลองคิดกันเล่นๆ ว่าที่คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 5เล่ม/คน/ปี นั้น ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 63 ล้านคน เฉลี่ยร้อยละ 20 เป็นเด็กแรกเกิดถึง 14 ปี คิดเป็น 12.6 ล้านคน ซึ่งถ้าสมมติว่าเด็กในวัยนี้จะยังไม่อ่านหนังสือหรืออ่านแต่หนังสือเรียนก็จะเหลือประชากรที่อ่านหนังสือทั่วไปประมาณ 50.4 ล้านคน แล้วขอสมมติต่อว่าหนังสือ 1 เล่ม = ต้นไม้ 1 ต้น คนไทยจะใช้ต้นไม้ 252 ล้านต้นต่อปี แต่ถ้าคิดแบบทดแทนว่าหนังสือเรียนก็ทำมาจากต้นไม้และวัยเรียนต้องใช้หนังสือมากกว่า 5 เล่มต่อปีแน่นอน เราจะได้ตัวเลขการบริโภคต้นไม้ของคนไทยประมาณ 315 ล้านต้น/ปี (ถ้าหนังสือเหล่านั้นเป็นหนังสือที่ทำจากกระดาษใหม่ทั้งหมด) แล้วถ้าคนทั้งโลกที่ประมาณว่าน่าจะมากกว่า 6,300 ล้านคนในปัจจุบัน ใช้ต้นไม้ในปริมาณเท่ากับคนไทยล่ะ? ไม่น่าเชื่อว่าเราจะต้องใช้ต้นไม้ 31,500 ล้านต้น/ปี ตัวเลขนี้ฉันว่ามันคงไม่ใกล้เคียงความจริงเท่าไหร่หรอกเพราะคนทุกประเทศอ่านหนังสือไม่เท่ากัน แต่เรื่องมันมีอยู่ว่าคนเราใช้ต้นไม้ทำหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่ากระดาษหรือหนังสือ!!!

ทั้งหมดที่เขียนมาไม่ใช่อยากให้คนทั้งโลกเลิกอ่านหนังสือ เพราะฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือ หันซ้ายหันขวามองบนชั้นวางหนังสือที่บ้าน นับได้ต้นไม้ต่ำกว่าร้อยต้น ก็หนังสือมีประโชยน์ต่อสมองและจิตใจนี่คะ ^^

วันนี้ฉันอ่านเจอเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับคนรักการอ่าน(หนังสือ)ถ้าเรานำเอากระดาษที่ใช้แล้วประมาณ 520 ตันต่อวัน มารีไซเคิลเราจะช่วยการลดการตัดต้นไม้ลงได้ถึง 12,480 ต้น ซึ่งต้นไม้เหล่านี้สามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนที่จะทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นได้ถึง58.24 ตันต่อวัน และนอกจากการรีไซเคิลแล้วเราสามารถช่วยรักษาสมดุลของต้นไม้กับหนังสือได้ด้วยสองมือนี้แล้วนะ ขอบอก ^______________^



การให้และการรับ Now BookMooch and Eco-Libris are partnering.
BookMooch ก่อตั้งขึ้นโดย John Buckman ที่นี่คือชุมชนออนไลน์ที่สมาชิกจะแลกเปลี่ยนหนังสือกัน แต่การส่งต่อหนังสือให้คนอื่นหมายถึงว่าคุณจะต้องไม่รับมันกลับมา จากนั้นคุณก็สามารถขอหนังสือเล่มไหนก็ได้จากรายชื่อหนังสือที่มีคนต้องการจะให้ แน่นอนการหมุนเวียนของหนังสือจะช่วยลดการใช้กระดาษ และเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้อีกด้วย เพราะหนังสือบางเล่มก็พิมพ์ขายเฉพาะในบางประเทศเท่านั้น หรือถ้าคิดว่าการลดการใช้อย่างเดียวยังไม่พอเราสามารถให้หรือว่าทดแทนได้ด้วย Eco-Libris คือองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางในการปลูกต้นไม้สำหรับคนที่รักการอ่านและคิดว่า เขาต้องการช่วยทดแทนต้นไม้ให้กับโลกใบนี้ เราสามารถแสดงความจำนงในการทดแทนหนังสือได้โดยเข้าไประบุจำนวน จากนั้น จะได้ตัวเลขออกมา ถ้าเราไม่อยากปลูกต้นไม้เองหรือคิดว่าบริเวณที่เราจะปลูกไม่เหมาะสม เราสามารถโอนค่าใช้จ่ายไปยัง Eco-Libris ซึ่งจะเป็นคนกลางในการว่าจ้างคนไปปลูกต้นไม้แทนคุณ (ฉันว่าอันนี้ก็สะดวกดี แต่บางครั้งความสะดวกมักจะมากับสิ่งไม่พึงประสงค์นะ) อ้อ เดี๋ยวจะหาว่าฉันนิยมฝรั่งส่วนคนไทยก็มีกิจกรรมดีๆ ไม่น้อยหน้าเขาเหมือนกัน ขอแนะนำวันฉลาดไม่ซื้อ "ตลาดนัดแบ่งปัน" เพียงแค่นำสิ่งของที่คุณต้องการแบ่งปันไป...แล้วถ้าต้องการก็เดินเลือก แลก - เปลี่ยน(งานนี้ไม่มีกำไร-ขาดทุน ค่ะ)

ทั้งการให้และรับหนังสือผ่านBookMooch, การปลูกต้นไม้ทดแทนผ่าน Eco-Libris และการจัดตลาดนัดแบ่งปัน ทำให้ฉันนึกถึงเพลงของพี่ๆ อัสนี-วสันต์ "ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง" บางทีการเอาอะไรที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตก็ทำให้เราตัวเบาขึ้น มีพื้นที่ว่างสำหรับการรับสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น ไม่ใช่หรือ ^^

วันศุกร์, มกราคม 11, 2551

โลกร้อนก่อนวันเด็ก

พูดถึงภาวะโลกร้อนหลายๆ คนอาจนึกถึงนักวิชาการ ตัวเลขทางสถิติและชาร์ทต่างๆ ที่แสดงว่าอุณหภูมิของโลกกำลังพุ่งสูงขึ้นขนาดไหน (ถ้าเป็นกราฟหุ้นผู้ถือหุ้นคงยิ้มหน้าบานกันเป็นแถวๆ) หรือถ้าใครได้ดู An Inconvenient Truth ก็อาจจะนึกถึงภาพอัลกอร์กำลังถูกลิฟต์ยกสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้นจนน่าตกใจ...

ปัจจุบันปัญหาโลกร้อน หรือ Globle warming ได้ถูกหยิบขึ้นมาเป็นวาระของโลกก็ว่าได้ ประเทศต่างๆ มีความกังวลร่วมกันเพราะเรามีโลกอยู่เพียงใบเดียวหนิ แม้ออสเตรเลียและสหรัฐฯ จะยังไม่ยอมลงนานในสนธิสัญญาโตเกียวที่ว่าด้วยการลดการใช้ก๊าซเรือนกระจก ^^ แต่หลายๆ โรงเรียนในหลายๆ ประเทศรวมทั้งสองที่ไม่ลงนามก็มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ในโอกาสที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเด็กแห่งชาติไทยเรามาดูสิว่าเด็กไทยอย่างหลานๆ ของฉันรู้อะไรมากกว่าคำขวัญวันเด็กปีนี้

"สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม"

อา : เฮียพีครับแล้วคำขวัญวันเด็กของปีที่แล้วล่ะครับ
สวีทพี : เอ่อ....เอ่อ.....เฮียงงแล้วอ่ะ
อา : เฮียพีรู้จักภาวะโลกร้อนไหมครับ
สวีทพี : โลกร้อนเกิดจากคา-บอ-ได-ออก-ไซด์
อา : โลกร้อนแล้วจะเป็นยังไงครับ
สวีทพี : ร้อนมาก ควันขึ้น ^^
อา: แล้วเฮียชอบโลกร้อนไหมครับ
สวีทพี : ไม่ชอบ
อา : แล้วเฮียจะทำยังไงให้โลกเย็นครับ
สวีทพี : ประหยัด
ลูกพลัม : เปิดแอร์น้อยๆ (เด็กๆ เดินผ่านคอมเพสเซอร์แอร์ เลยถามอาว่าทำไมแอร์มันร้อนล่ะ อาก็เลยบอกว่า เวลาเราเปิดแอร์ในห้องเราจะเย็น แต่เราจะทำให้โลกร้อน เพราะเวลาเปิดแอร์ เราจะปล่อยลมร้อนออกมา หลานสาวก็เลยจำ)
สวีทพี : ประหยัดไฟฟ้า


อา : พำพำรู้จักโลกร้อนไหมคะ
ลูกพลัม : รู้จัก
อา : โลกร้อนคืออะไรคะ
ลูกพลัม : คา-บอน-ได-ออก-ไซ
อา : ไม่เอาตามเฮียสิ เอาตามหนูสิ
ลูกพลัมทำท่าคิดหนัก....เอ่อ...
ลูกพลัม : จบ สวัสดีค่ะ
อา : พำพำชอบโลกร้อนไหมคะ
ลูกพลัม : ไม่ชอบค่ะ
อา : ทำไมถึงไม่ชอบโลกร้อนคะ
ลูกพลัม : เพราะว่าอย่าทิ้งขยะบนทะเล หรือบนพื้น หรือบนอะไรทั้งนั้น

ปกติน้องพลัมเป็นเด็กช่างเจรจากว่านี้ พลัมเคยบอกว่า
-โลกร้อนเกิดจากเราไม่มีต้นไม้ เราต้องช่วยกันปลูกต้นไม้--> เวลาไปขี่จักยานเล่นกันถ้าผ่านต้นไม้ใหญ่อากัญจน์จะบอกหลานว่าเห็นไหม ต้นไม้ผู้ใหญ่ให้ร่มเงา ไม่ร้อนเลย ถ้าผ่านตรงไหนไม่มีต้นไม้ก็แกล้งพูดขึ้นมาเฉยๆ ว่าไม่มีต้นไม้ผู้ใหญ่เลย แดดร้อนเนอะ ^^

-ใช้กระดาษน้อยๆ --> เวลาหลานสาวดึงกระดาษทิชชู่เล่น อาเคยถามหลานว่า "พำพำรู้ไหมคะว่ากระดาษทำมาจากอะไร" พลัมทำท่าคิดหนัก...อืม..."ไม่รู้อ่ะ ทำมาจากอะไร" (ทำท่าอยากรู้) "มันทำมาจากต้นไม้นะเนี่ย พำพำ ดึงกระดาษเล่นอย่างนี้ต้นไม้ก็ตายหมดพอดี เพราะเขาต้องตัดต้นไม้มาทำกระดาษนะรู้เปล่า" "อ้าว เหรอ แล้วทำไมไม่บอกเหล้า...ก็ได้ ก็ได้ หนูไม่เล่นก็ได้" แต่จนเดี๋ยวนี้บางทีหลานก็ยังแอบดึงทิชชู่เล่นบ้างแต่น้อยลงมากแล้ว เวลาอาทักขึ้นมา หลานสาวจะบอกว่า "หนูเปล่าเล่น หนูเอามาเช็ดขี้มูก" ว่าแล้วก็จับทิชชูยัดเข้ารูจมูก ซะงั้น

-ไม่ทิ้งขยะ --> "พลัมๆ รู้เปล่าเวลาหนูทำถุงลอยไปตกทะเล...ถ้าหนูไม่เก็บขึ้นมา เต่ามันจะไปกินแล้วมันจะติดคอตายนะ" อาขู่หลานซะเลย "อ้าวเหรอ" พร้อมกับทำท่าตกใจสุดขีด ^^

-เอาถุงมาใช้อีก(reuse) --> "คุณย่า คุณย่า ถุงนี่เอาไปใส่ขนมได้ ไม่ต้องทิ้ง" หลานสาวบอกคุณย่า เพราะเห็นคุณย่าทำท่าจะเอาถุงไปทิ้งขยะ "อ้าว ขอโทษค่ะ คุณย่าลืม" ^^"

-เอากล่องขนมมาทำของเล่น(recycle) --> หลานดูโทรทัศน์ เห็นพิธีกรหยิบกล่องมาทำรางให้ลูกแก้วไหลลงมาเหมือนรถวิ่งบนถนน "เรามาทำกันมั่งสิ" หลานชวน "ได้ๆ แต่เดี๋ยวหากล่องก่อนนะ" อาบอกหลานแล้วก็เดินไปดูหลังบ้าน "ไม่มีอะ ทำไงดี" อาส่งสายตาว่าเดี๋ยวเราค่อยทำวันหลังเนอะ แต่หลานทำท่าไม่ยอม "งั้นเราออกไปซื้อกล่องก็ได้" หลานว่าแล้วก็เดินมาจูงมืออา "อ้าว...ซื้อทำไมล่ะลูกเปลืองเงิน เดี๋ยวเอากล่องขนมมาทำก็ได้...รอก่อนเนอะ" โยเยกันพักใหญ่ เลยหลอกล่อให้ออกไปวิ่งไล่จับแทน เอิ๊กๆๆๆ หลานรออามาหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ลงมือกันสักที แต่คุณย่าเคยเอากล่องกระดาษใบใหญ่มาทำเป็นบ้านให้หลานๆ เข้าไปนั่งเล่น หลานๆ ชอบใจใหญ่

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กอนุบาลทำให้โลกนี้ได้อย่างน่ารักนี่แหละสิ่งที่หลานๆ ฉันรู้เกี่ยวกับโลกร้อนในวันก่อนวันเด็ก 1 วัน แต่เมื่อข้ามฟากไปดูประเทศอเมริกาปีนี้เขามีตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับทางออกที่จะทำให้โลกเรามีสีเขียวขึ้นในปี 2551

49--คือตัวเลขร้อยละของคนอเมริกันที่ยอมทำแบบสอบถามทางโทรศัพท์เพื่อสร้างโลกสีเขียว
75 -- คือตัวเลขร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าพวกเขาตั้งใจหรือตั้งใจอย่างมากที่จะลดการใช้พลังงานภายในบ้าน
74 -- คือตัวเลขร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าตั้งใจจะ recycle ให้มากขึ้น
66 -- คือตัวเลขร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าตั้งใจจะลดการใช้สารเคมีภายในบ้าน
43 -- คือตัวเลขร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าตั้งใจจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนของตัวเอง
42 -- คือตัวเลขร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าจะใช้ถุงที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ไปซื้อของด้วย
จาก www.treehugger.com

ตัวเลขเหล่านี้หรือข้อความทั้งหมดที่เขียนมาจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าเราไม่เริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือของเรา ^^

ปล. คำถามเกี่ยวกับโลกร้อนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันได้ดูหนังสั้นจากงาน Live earth เมื่อวันที่ 07/07/07 งานที่จัดขึ้นเพื่อบอกกล่าวให้โลกรู้ถึงความร่วมมือกันที่จะแก้ปัญหาของโลกด้วยความร่วมมือกันจากหลายประเทศ ในงานมีทั้งการแสดงดนตรีสด การประกวดหนังสั้น ฯ หนึ่งในหนังสั้นที่ฉันได้ดู sos/sad fish/2007 จากผู้กำกับ มัลคอล์ม เวนวิลล์ เขาโยนคำถามใส่เด็กๆ "สาเหตุของปัญหาโลกร้อนเกิดจากอะไร แล้วเด็กๆ จะช่วยโลกได้ยังไงบ้าง" ลองไปฟังคำตอบจากหนังสั้น "sad fish" กันเลย http://entimg.msn.com/i/ExperienceData/p1-7/us/x.htm?sh=LiveEarth&g=0F1D6867-9C87-4728-A794-1FB7BA9C1FF7 หมายเหตุ : ขอบคุณใบ)ลม( สำหรับข้อมูลดีๆ

วันพฤหัสบดี, มกราคม 10, 2551

ฮีโร่ของเฮีย

สวีทพี : เฮียอยากฟัง แดส์ สะ ฮีโร่....

ว่าแล้วหลานชายก็ขว้าแผ่นชีดีสีเขียวยัดเข้าไปในเครื่องเล่น

สวีทพี : แดส สะ ฮี โร่ อิฟ ยูลูก อินไซ ยัว ฮาดดดดดดด

โอ้หลานช้านนนนนน ฮีทำได้จริงๆ

ลูกพลัม : อาขา....ฮีโร่แปลว่าอะรคะ

อา : เอ่อ...ฮีโร่ก็แปลว่าคนที่คอยช่วยเหลือคนอื่นไงคะ

ลูกพลัม : อย่างนี้หนูก็เป็นฮีโร่ซิ

อา : ทำไมล่ะลูก

ลูกพลัม : ก้อหนูช่วยเฮียกินข้าวจนหมดจามมมเลย..

เอิ๊กๆๆๆ ใช่จ๊ะ พำพำ เป็นฮีโร่ของเฮีย

ตอนนี้หลานสาวเลยน้ำหนักแซงพี่ชายไปหลายกิโลแล้ว ^^

วันอังคาร, มกราคม 08, 2551

หลานช้านนนนนนน ^^

หลานชายน้องสวีทพี ที่ใครๆ ต่างก็พากันเรียกเฮียพี ขนาดคุณครูที่โรงเรียนยังเรียกเฮียพีเลยอ่ะ
สวีทพี : อาค้าบ....อารู้ไหมว่าวันนี้วันอารายยยยย
(เฮียพียิ้มกว้างส่งเสียงมาจากหลังที่นั่งคนขับ)
อา : วันอะไรครับเฮีย
สวีทพี : วันอังคานที่แปดมก-กะ-ลา-คม พุด-ทะ-สัตว์-ประ-หลาด สองพันห้าร้อยห้าสิบเอ็ดคร้าบบบบ
คุณอาเลยหัวเราะกร๊ากออกมา
อา : เฮียพีครับ พุทธศักราช ครับ ไม่ใช่ พุด-ทะ-สัตว์-ประ-หลาด
สวีทพี : อ้าวเหรอ !!

หลานสาวน้องลูกพลัม ที่ใครๆ พากันเรียก พำพำ
วันนี้คุณย่าตื่นมาพร้อมเสียงไอค่อกแค้ก แต่ก็ยังรักหลานสาวเหมือนเดิม
คุณย่า : พำพำขา...ขอคุณย่าหอมหน่อยสิคะ
ลูกพลัม : ได้ค่ะ (หลานสาวยิ้มพร้อมยื่นแก้มให้)
คุณย่าเลยหอมฟอดใหญ่จนชื่นใจ
คุณย่า : พำพำขา..คุณย่าขอกินน้ำส้มบ้างได้ไหมคะ
(คุณย่าว่าพลางยื่นมือออกมา สายตาจับจ้องอยู่ที่น้ำสมในแก้วหลานสาว)
ลูกพลัม : แต่คุณย่าขา...คุณย่าไอแค่ก แค่ก อยู่กินน้ำนี้ไม่ได้คะ มันเย็น...
(หลานสาวว่าแล้วก็เดินจากไป ทิ้งคุณย่าให้ยืนยิ้ม แหม...นี่เขาไม่ให้เพราะ
เป็นห่วงคุณย่านะเนี่ย...^^)

วันจันทร์, มกราคม 07, 2551

ความคิดถึงของลมหนาวกับเรื่องราวของความอบอุ่นแห่งความฝัน

เมื่อลมหนาวพัดมา ความคิดถึงก็เดินทางมาเคาะประตูหัวใจด้วยพร้อมๆ กัน (ฮิ้วววววว...ทั้งชื่อ ทั้งโปรยประหนึ่งว่าจะเขียนเรื่องรักหวานแหวว)

วันนี้เมื่อปีที่แล้ววฉันเป็นพนักงานของบริษัทค้าหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง

จำได้ว่าต้องตื่นแต่เช้าขับรถทางไกลจากที่พักไปที่ทำงาน ดีว่าไม่ต้องฝ่ารถติดแบบคนเมืองเต็มขั้นเพราะทั้ง 2 ที่ต่างก็อยู่ชาญเมืองเหมือนกันเพียงแต่ว่าต้องขับรถอ้อมไปเพราะมันเป็นคนละฝั่งของเมือง

ถึงที่ทำงาน ฉันหยิบหนังสือพิมพ์ธุรกิจและรายงานสถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศต่างๆ มาอ่านความเคลื่อนไหวของตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าและคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งบทวิเคราะห์บริษัทต่างๆ ฉันไม่เบื่อหรอกเพราะทุกวันก็มักมีเรื่องน่าสนใจใหม่ๆ เสมอ

เสียงโทรศัพท์และความวุ่นวายระหว่างช่วงเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับฉันบางครั้งฉันก็ถือสายคุยคาบเกี่ยวคราวเดียวกับลูกค้า 2 - 3 คน ลูกค้ามากหน้าก็มากนิสัย บางคนเป็นเหมือนเพื่อน บางคนเป็นเหมือนพี่สาว บางคนก็เหมือนคุณครู ในขณะที่อีกบางคนก็เป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่น่าเกลียดน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

ฉันจะมีสมุดและปากกาวางอยู่ตรงหน้าเสมอ มันไม่ได้เอาไว้จดข้อมูลสำคัญ หรือ สาระอะไรที่เกี่ยวกับหุ้น แต่เมื่อมีเวลาว่างฉันมักจะใช้มันเป็นสมุดวาดรูป หรือ เขียนอะไรเล่น

เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานมักแซวเวลาเห็นฉันทำท่าขยุกขยิกอยู่กับหนังสือเล่มนั้น ว่าเมื่อไหร่จะออกหนังสือสักที ฉันได้แต่ยิ้ม...เขาคงไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาแซวเป็นความฝันของฉันมาเนิ่นนาน ความฝันที่ก่อตัวชัดขึ้นในห้องเรียนวิชากฎหมาย เปล่านะฉันไม่ได้อยากเป็นทนายความแต่อย่างใด แต่ที่ห้องเรียนวิชากฎหมายภายใต้ท่าทางตั้งใจ ฉันและเพื่อนร่วมขบวนการเรากำลังยังส่งกระดาษเขียนกลอนหากันไปมา หมดคาบเรียนเราได้หนังสือทำมือมา 1 เล่ม นั่นล่ะ ฝันของฉัน ^^

ลมหนาวพัดมาเหมือนเดิม ฉันยังตื่นแต่เช้าหากภารกิจชีวิตเปลี่ยนไป ฉันไม่ต้องขับรถทางไกลเพื่อไปนั่งอ่านข่าวธุรกิจ หรือโทรศัพท์หาลูกค้าวันละเป็นร้อยครั้ง ไม่ต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงคารมคนชวนไปกินข้าว ไม่ต้องเครียดกับตัวเลขกำไร-ขาดทุนของหุ้นในพอร์ตคนอื่น

วันนี้ฉันตื่นเช้า เตรียมอาบน้ำแต่งตัวให้หลาน ขับรถทางใกล้ไปส่งหลานที่โรงเรียน แล้วกลับมาช่วยงานที่บ้าน ถึงเวลาก็ไปรับหลาน กิน เล่น ทะเลาะกัน เตรียมตัวเข้านอน ฉันชอบเวลาส่งหลานเข้านอน ฉันมักอ่านหนังสือนิทาน หลานๆ มักมีคำถามน่ารักๆ อย่างเช่น

"ทำไมหมูมันต้องสร้างบ้านด้วยฟาง ทำไมไม่สร้างบ้านแบบเรา"

"เอ่อ...ก็มันหาได้แต่ฟางนี่คะ แล้วมันก็เป็นหมูขี้เกัยจ สร้างบ้านด้วยฟางเสร็จเร็ว มันก็เลยได้นอนพักก่อนใคร" ฉันเอาตัวรอดไปอย่างหวุดหวิด

แม้บางครั้งหลานจะดื้อ พูดไม่ฟังแต่เด็กๆ ก็มักจะมีคำพูด หรือรอยยิ้มที่ทำให้ฉันขำออกมาทั้งยังโกรธ

โดยรวมแล้วชีวิตฉันช้าลง แต่ฉันมีความสุขมากขึ้น ฉันมีเวลามากขึ้น (อย่างน้อยก็ได้เวลามาจากการไม่ต้องขับรถไกลตั้ง 2 ชั่วโมง) เวลาที่มากขึ้นและชีวิตที่ช้าลงทำให้ฉันหยิบความฝันมาปัดฝุ่นอีกครั้ง

จากวันนั้นเพื่อนร่วมฝันต่างแยกย้ายกันไปตามทาง แต่ในความคิดถึงของลมหนาวฉันเชื่อว่าความอบอุ่นของความฝันจะทำให้เราไม่ลืมกัน

ปล.ฉันคิดถึง แก แก และแก เพื่อนร่วมแก๊งค์เกรดเอ ของอาจารย์ฟ้าและคนไกลที่หนีไปอยู่ดอย อุ้ม ออม นุ่น

ปล. 2 เพื่อนร่วมฝันที่สม่ำเสมอในความห่าง "นุ้ย" ขอบคุณที่มีแกในทุกเวลาของชีวิตฉัน
แก....ฉันรักและคิดถึงแกเสมอนะแม้บางทีจะไม่แสดงออก จุ๊บๆ เพราะฉันก็สม่ำเสมอในการหายหัวไป ^^

ปล. 3 ขอบคุณต๊อง เบนซ์ ฝ้าย และแม่หมูดวงใจ ที่ทำให้ช่วงเวลาที่หาดทราย ชายเล เฮฮา อย่างน่าประหลาด

ปล.อีกที สำหรับ "เธอ" ที่แม้ไม่ได้มีฝันเดียวกันแต่ก็เกื้อกูลกันมาเสมอ เราต่างผลัดกันรับและให้ ขอโทษที่ฉันอาจให้เธอน้อยเหลือเกินขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ "เธอ" ให้มา ทุกช่วงเวลาฉันผ่านมาได้เพราะ "เธอ" จริงๆ